Site hosted by Angelfire.com: Build your free website today!

 

ถ้าอย่างนั้น คุณก็อาจจะเป็นทายาทของเจ้าพระยาบดินทรเดชา อย่างนั้นหรือเปล่าคะ” สาวเวียงจันทน์ถาม



ผมคิดว่า ต้นถั่วเหลือง อาจเป็นต้นไม้วิเศษ มันสามารถช่วยชาวบ้านในที่ที่เสี่ยงต่อสารแคดเมียมได้ (ทั้งในอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และ อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ที่มีการปลูกถั่วเหลือง ปัญหาสารโลหะหนักแคดเมียมปนเปื้อน ถ้าก่อปัญหาขึ้นแล้วไม่ใช่โรคที่รักษาได้ง่ายเหมือนโลหะหนักตัวอื่นอย่างสารตะกั่ว โรคไตที่เป็นผลกระทบจากสารแคดเมียมผู้ป่วยทรมานและเสียค่าใช้จ่ายมาก)

ถ้าชาวบ้านยังคงต้องปลูกพืชในดินที่มีสารอันตราย หรือไม่รู้ว่าตรงไหนมีหรือไม่มีสารอันตราย ทำให้คิดว่า อย่างนี้เวลาเกิดข้อสงสัยว่าที่ดินตรงไหนปลูกพืชผักได้หรือไม่ ก็คิดเล่นว่าต้นถั่วเหลืองช่วยเป็นตัวบ่งบอกได้

เรื่องที่ว่าโคนใบถั่วเหลืองเปลี่ยนสีได้ เมื่อได้รับสารแคดเมียม ผมแรกอ่านเจอในบทความวิชาการภาษาอังกฤษ จากการไปตามค้นเอกสาร มาตั้งแต่ปี ๒๕๔๙ สมัยเป็นนิสิตนักศึกษาเคมีปี ๒ ผมเดินไกลไปตามถนนศรีอยุธยา ไปเอาหลักฐานอันนี้

แต่เรื่องนี้ถ้านำมาพูดลอยๆ ก็ไม่มีผลการทดลองหรืองานวิจัย ที่มีรายละเอียดมากกว่านี้มารองรับ เพราะข้อมูลในเอกสารทางวิชาการก็บอกไว้เพียงประโยคเดียว อ่านแล้วก็นึกไม่ออกว่าจะใช้แยกแยะความแตกต่างของดินที่มีกับดินที่ไม่มีสารแคดเมียมได้ จริงหรือไม่ ที่ความเข้มข้นเท่าไร ความแม่นยำระดับไหน ครอบคลุมถึงถั่วเหลืองโดยทั่วไปหรือไม่ สังเกตอย่างไร แล้วถ้าโคนใบของต้นถั่วเหลืองมีสีอย่างนั้นโดยไม่มีสารแคดเมียมจะว่าอย่างไร

(และที่จริงต่อให้ประเด็นทางวิทยาศาสตร์มีข้อมูลเพียงพอแล้ว งานด้านสังคมในการส่งแผนนำไปใช้ยิ่งอาจเป็นเรื่องยากกว่าที่จะผลักดัน ถ้ามีแต่คนที่ไม่สนใจ เหมือนที่ผมรู้สึกว่าผู้คนเกลียดชังผม หรือแม้มีคนสนใจแต่ว่ามาศึกษาแบบมั่วๆ หรือสักแต่ว่าให้มีผลงานออกมา)

นอกจากข้อมูลประโยคเดียวแล้ว รายละเอียดอื่นๆ ที่จะมารองรับยิ่งไม่มีเลยถ้าจะทำให้ชัดเจนกว่านี้ ช่วยให้ความมั่นใจกับผู้สังเกต จึงเป็นเรื่องหนึ่งที่น่าจะช่วยแก้ปัญหา

นานหลายปี ผมได้แต่อ่านข่าวคนด่ากัน คนโอดครวญถึงความเดือดร้อน เกี่ยวกับชาวบ้านที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ด่าว่าไม่มีหน่วยงานไหนมาแก้ปัญหา ต่างๆ นานา ผมจึงเคยพยายามยกเรื่องต้นถั่วเหลืองช่วยแก้ปัญหาได้นี้มาเป็นประเด็นสนทนา คนที่เข้ามาดูเพียงไม่กี่คนที่เรียนในสายคณะวิทยาศาสตร์เองก็ มาตำหนิ ว่า จะเอาถั่วเหลืองไปดูดสารแคดเมียมเป็นวิธีคิดที่ใช้ไม่ได้ ซึ่งผมไม่ได้คิดอย่างนั้น แต่มีคนช่วยโต้เถียงแทน นักข่าวอะไรก็ทำกับผมแย่มากไม่รู้จะรังเกียจอะไรผมกันนักหนา ไม่มีใครยอมฟังเท่าไร พวกที่ทำเป็นอ้างว่าทำโครงการแก้ปัญหาให้ชาวบ้านเรื่องนี้โดยตรงนั้นยิ่งดูแย่กว่า

เผอิญว่ามีคนสนใจจะช่วย ผมจึงเคยวางแผนการสังเกตต้นถั่วเหลืองว่าจะใช้บ่งบอกได้จริงหรือไม่ ในพื้นที่อำเภอแม่สอดที่มีสารแคดเมียมปนเปื้อน เปรียบเทียบกันระหว่างถั่วเหลืองที่มีกับไม่มีสารแคดเมียม โดยซื้อซองพลาสติกและเตรียมอุปกรณ์การจดแยก สำหรับเก็บเมล็ดถั่วเหลืองของต้นที่สังเกตนั้นๆ ต่างๆ ไปหาปริมาณสารแคดเมียม โดยวางแผนว่าจะไปขอใช้เครื่องมือวิเคราะห์ในสถาบันที่มหาวิทยาลัย โดยผมเป็นคนออกเงินค่าขอใช้อุปกรณ์เอง แต่การเดินทางครั้งนั้นเป็นอันถูกยกเลิกเสียก่อนเพราะคนที่จะขับรถพาไปอยู่ๆ ก็ป่วยไข้ขึ้น โดยที่ไม่เคยเป็นมาก่อนและมีเวลาเฉพาะช่วงนั้น

ส่วนตัวผมเองในช่วงหลังจากนั้นก็เกิดเรื่องราวบางอย่างขึ้นในชีวิตที่ต้องไปรีบจัดการ บางทีก็มองว่าคล้ายกับอานิสงส์ที่ได้พยายามทำเรื่องนี้มาให้ผลกับชีวิตของผมเองบ้างในช่วงนั้น ก่อนที่จะวุ่นวายกับการแก้ปัญหาของตัวเองไม่เป็นอันทำอะไรต่อนานหลายปี ซึ่งปัญหาที่รุมขัดขวางผมเหล่านั้นมีมานานก่อนที่ผมจะเคยได้ยินเรื่องปัญหาสารแคดเมียมเสียอีก (ช่วงเวลาที่ผมเกือบจะได้ลงมือทำอะไรนั้น ในปี ๒๕๕๓ แม้แต่บทความวิชาการขนาดยาวเสนอทางแก้ปัญหาสารแคดเมียมรูปแบบต่างๆ ที่อุตส่าห์รีบเร่งทำมามาก ก็ถูกปล่อยทิ้งร้างนานกว่าสี่ปีโดยไม่ได้แตะต้องเลย ไม่มีเวลาเผยแพร่ ทั้งที่การเขียนตรงนั้นเป็นหนึ่งในไม่กี่อย่างที่ทำให้ผมมีความสุขได้)

เวลาล่วงเลยไป มาถึงเหตุการณ์ตอนที่ผมได้เจอกับคนที่ในเวลาต่อมาได้ช่วยตามหาหมู่บ้านที่มีต้นถั่วเหลือง ในอำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย สำหรับการทดลองในประเด็นนี้ ซึ่งเป็นอะไรที่วิเศษมากกว่าจะหาคนยอมให้ความร่วมมือได้ เป็นสาวลาวจากเมืองเวียงจันทน์ ไปเจอกันที่อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา เล่าเรื่องความทุกข์ต่างๆ ให้แก่กันฟัง เป็นคนไม่ชอบนักวิชาการจึงแสดงความหงุดหงิดกับบุคลิกของผมอยู่บ้างในตอนแรกๆ

ผมได้เจอสาวคนนี้เพราะคนขับรถสองแถวที่อำเภอเชียงคำเป็นเหตุ ในระหว่างการเดินทางแห่งความหวังว่าจะพบสถานที่สงบสำหรับสะสางข้อมูลที่ติดค้างในสมองมานานหลายปีตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือผมสมองโดนกดดันตลอดไม่เคยได้พักด้วยเงื่อนไขสารพัด รวมทั้งเรียบเรียงข้อมูลและความคิดที่น่าจะช่วยแก้ปัญหาสารแคดเมียมที่ค้างคานานหลายปี ที่ผมไปที่ชายแดนอำเภอภูซาง ตามที่เคยคิดไว้ว่าจะลองเดินทางไปประเทศลาวผ่านดินแดนที่ตนเองคล้ายจะเคยรู้สึกคุ้นเคยในใจจากวัยเด็กแม้จะไม่เคยไปมาก่อน เพื่อที่จะเดินทางเข้าไปในแขวงไชยบุรีของประเทศลาวแต่ไม่สำเร็จ



เวลาเพียงสามวันหลังจากมีคนในจังหวัดเชียงรายทำนายเรื่องที่ผมต้องไปแก้คำสาปพญาศรีโคตบูรณ์ให้แก่แผ่นดินลาว ที่ผมไม่อาจเชื่อถือคำพูดตรงนั้นได้จึงยังคงมุ่งเดินทางเข้าสู่แขวงไชยยะบูลี และได้เดินทางเข้าสู่ชายแดน







ตรงนั้นที่กลางหมู่บ้าน มีไร่นาเป็นที่ราบ รายล้อมด้วยขุนเขา สวยงามมาก ผมออกไปเดินเล่นแล้วกลับเข้ามาจึงได้เจอคนที่ทำให้ผมมานั่งตอบคำถาม

มาทำอะไรที่นี่เหรอคะ” สาวเวียงจันทน์ถาม ที่ติดชายแดนอำเภอภูซาง

(ปกติผมเป็นคนเงียบมากไม่กล้าพูดอะไร จนผู้คนพากันนึกว่าผมเป็นคนโง่ ถ้าใครที่เพิ่งได้เจอชวนคุยได้แสดงว่ามีความสามารถมาก)

เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับครับ” ผมตอบ ก่อนที่สาวลาวจะชวนคุย ว่าเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับสิ่งลี้ลับเรื่องถูกผีอำ และเรื่องที่เชื่อว่าตนเองเป็นคนอุดมไชยกลับชาติมาเกิด และก็ให้ผมเล่าบ้าง

เรื่องราวของผม มันเริ่มมาตั้งแต่ สมัยเป็นนักเรียนชั้นม.๓ ไปสอบแข่งขันทางวิทยาศาสตร์สาขาเคมี ที่โรงเรียนบดินทรเดชา ที่มีเรือนโบราณของเจ้าพระยาบดินทรเดชา...” ผมเริ่มเล่า

ในสถานที่ตรงนั้น ที่ผมมาสอบแข่งขันเคมี ผมได้เจอเหตุการณ์ประหลาด”

“...เจ็ดปีต่อมา เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เป็นเพียงคนเดียวที่มีอะไรหลายอย่างทำให้ผมมีกำลังใจได้ ก็เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนบดินทรเดชา ที่สอบผ่านวิชาเคมีตั้งแต่ยังไม่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยเหมือนกันกับผม เป็นเพื่อนผู้หญิงที่ผมมีโอกาสได้คุยแค่ไม่กี่ประโยค...”

ผมเล่าถึงศิษย์เก่าบดินทรเดชาผู้ป่วยด้วยโรคซึมเศร้า ที่มาให้กำลังใจผม ซึ่งหลายครั้งก็เป็นเรื่องเดียวในชีวิตที่ผ่านมาตอนนั้น ที่ผมอยากจะนึกถึง

เหมือนในบทเพลงที่ผมเพิ่งฟังในภายหลัง

ทุกวันที่ตื่นขึ้นมา ฉันพบกับความโหดร้ายมากมาย แต่สิ่งเหล่านั้นมลายเมื่อได้พบเธอในทุกๆ วัน ทุกวันที่ตื่นขึ้นมา ฉันอาจเหนื่อยล้าก็ไม่สำคัญ ฉันตื่นเช้าทุกวันจนทันได้เจอ ทุกวันแม้ในความทุกข์ ทุกวันฉันมีความสุข เธอยิ้มเธอคงมีความสุข เธอยิ้มฉันก็มีความสุข ...ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน ฉันคิดถึงวันนั้น เพลง ทุกวันนั้น ในอัลบั้ม ได้พบและสูญเสีย ของต้าพาราด็อกซ์ ที่ออกในช่วงไล่เลี่ยกันกับเหตุการณ์ที่สาวบดินทรเดชามาให้กำลังใจ เพราะบังเอิญได้เจอกันทุกวัน (ในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๑)

(นอกจากนั้นแล้ว ในปีที่ผมได้ทราบข้อมูลเรื่องต้นถั่วเหลืองนี้ ปี ๒๕๔๙ เป็นปีที่ผมดิ้นรนอยู่ในท่ามกลางความกดดันมากมายหลายอย่าง ในยามที่ปัญหาต่างๆ รุมเร้า ผู้คนสร้างความหวาดระแวง ไม่มีใครรับฟังหรืออยู่เคียงข้างผม วงการวิชาการเป็นเมือนนรกขุมย่อมๆ ที่น่ากลัว แต่กลับมีสิ่งหนึ่งที่ปรากฏขึ้นอย่างไม่คาดคิด ผู้หญิงคนหนึ่งปกป้องผม ในยามลับหลัง โดยที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ผู้หญิงคนนั้นไม่เคยบอกผม กลับมาบอกเพียงแค่ว่า มีอะไรก็บอกได้นะ เหมือนกับว่าผู้หญิงคนนั้นยินดีที่จะเป็นคนช่วยรับฟัง แทนที่จะตั้งข้อรังเกียจและร่วมกันประนามหยามเหยียดผมเหมือนที่คนอื่นๆ ทำ และแทนที่จะเชื่อในคำใส่ร้ายตัวผมเหมือนที่ใครๆ เป็นกัน ในเวลาอันโหดร้ายที่แทบทุกคนในสถาบันต่างๆ บีบบังคับให้ผมรับความผิดบาปที่ผมไม่ได้ก่อ ไม่มีใครอยู่ข้างผม กลับมีสาวคนนี้อยู่ข้างผมลับหลัง และกล้าที่จะพูดจาเถียงลูกนักการเมืองที่มาก่อความวุ่นวาย ซึ่งสองปีต่อมาผมถึงได้รู้ว่า คนๆ นั้น ก็คือสาวบดินทรเดชาคนนี้นี่เอง)

“...จนกระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปหลายปี ผมเริ่มตระหนักว่า ในชีวิตของผมที่ผ่านมาจะได้เคยมีช่วงเวลาที่ยังพอมีอะไรดีๆ อยู่บ้าง โดยไม่ถูกความทุกข์และปัญหาต่างๆ รุมเร้าเบียดบังมากจนเกินไป ให้พอมีส่วนดีได้บ้าง ก็เฉพาะช่วงที่มีอะไรเกี่ยวข้องกับโรงเรียนบดินทรเดชา ที่มีที่มาจากเชื้อสายของเจ้าพระยาบดินทรเดชา”

สาวเวียงจันทน์รับฟังโดยไม่ได้แสดงอาการเกลียดชังต่อเจ้าพระยาบดินทรเดชา ทั้งที่ประวัติศาสตร์ของประเทศลาวเอง มักจะทำให้ประเทศไทยดูเหมือนเป็นศัตรู ด้วยเรื่องที่ถูกเน้นย้ำเอาไว้ว่า เจ้าพระยาบดินทรเดชาเผาเมืองเวียงจันทน์ ทำศึกสงครามด้วยความโหดร้าย และเป็นศัตรูของเจ้าอนุวงศ์ แห่งนครหลวงเวียงจันทน์

(สาวเวียงจันทน์คนนี้ก็เป็นลูกสาวของ เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลของ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จากการสถาปนาของ เจ้าสุภานุวงศ์ แห่งนครหลวงเวียงจันทน์ อีกด้วย)

ถ้าอย่างนั้น คุณก็อาจจะเป็นทายาทของเจ้าพระยาบดินทรเดชา อย่างนั้นหรือเปล่าคะ” สาวเวียงจันทน์ถามที่อำเภอภูซาง

เปล่าเลยครับ” ผมตอบ ซึ่งเป็นเรื่องที่ที่จริงผมต้องคิดน้อยใจอย่างมากที่ตนเองไม่ได้เกิดเป็นลูกหลานเจ้าพระยาบดินทรเดชา เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริงผมคงไม่ต้องคอยพึ่งพาแต่สิ่งภายนอกอยู่อย่างนี้

แม้ในเวลานั้นที่คุยกัน ผมยังต้องพยายามให้เหรียญเจ้าหลวงเมืองล้า ที่ได้จากอำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน ที่ผมพยายามนำมาห้อยคอ ปรากฏอยู่ตลอดเวลา เพื่อป้องกันอาถรรพ์ (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณ)